ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านกีฬา เป็นประธานในพิธีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเชิงปฏิบัติการ “โครงการต้นกล้ามวยไทย” โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เป็นผู้ลงนามร่วมกัน ที่ห้องเจ้าพระยา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า)
สำหรับ พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเชิงปฏิบัติการ “โครงการต้นกล้ามวยไทย“ ในครั้งนี้ เป็นไปตาม Roadmap ข้อตกลงระหว่าง กรุงเทพมหานคร กับ การกีฬาแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการส่งเสริม สนับสนุน พัฒนากีฬามวยไทยให้เป็นเอกลักษณ์ของชาติ ที่มั่นคงและยั่งยืน ตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างฐานกีฬามวยไทยให้เป็นที่นิยม และเข้มแข็งสู่อนาคตด้วยกลไกการขับเคลื่อนมวยไทยในสถานศึกษา และชุมชนท้องถิ่น โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย จะดำเนินงานในด้านการเรียนการสอนมวยไทยในโรงเรียนระดับชั้นประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา ด้วยการส่งครูมวยไทยที่จบหลักสูตรมาตรฐานผู้ฝึกสอนกีฬามวยไทย ทำการฝึกสอนมวยไทยขั้นพื้นฐานในโรงเรียนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ เป็นการพัฒนามาตรฐานทางด้านกีฬามวยไทยระดับพื้นฐานไปสู่เยาวชนของชาติ และเป็นการต่อยอดอาชีพครูมวยไทยที่จบหลักสูตรมาตรฐานผู้ฝึกสอนกีฬามวยไทยให้สามารถสร้างอาชีพได้ต่อไป
นายชัชชาติ กล่าวว่า ทางกทม.ได้ทำเอ็มโอยูเรื่องของต้นกล้ามวยไทยร่วมกับกกท. ในการผลักดันมวยไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์ จะต้องปลูกฝังตั้งแต่ระดับเยาวชนให้เข้าใจสปิริตของมวยไทย ซึ่งครั้งนี้นับว่าเป็นรูปธรรมมากขึ้น กทม.มี 437 โรงเรียน ดังนั้น 20 โรงเรียนนี้จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น จะมีการขยายผลต่อไปในอนาคต
“ซอฟต์พาวเวอร์นั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ เป็นการใช้ศิลปวัฒนะรรมประจำชาติในการดึงดูดโน้มน้าวใจคน ให้คนมาสนใจ มวยไทยก็ถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์อย่างหนึ่ง โครงการนี้จะช่วยหล่อหลอมจิตวิญญาณมวยไทยให้อยู่คู่กับเยาวชนไทยทุกคน” นายชัชชาติ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าการผลักดันโครงการนี้จะช่วยการลดปัญหานักเรียนตีกันในโรงเรียนได้หรือไม่นั้น ผู้ว่าราชการกทม. กล่าววว่า การให้เด็กได้ออกกำลังกายและปลูกฝังเรื่องการรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัยไปด้วย น่าจะช่วยให้เด็กๆ หายเครียด และรักกันมากขึ้น น่าจะช่วยลดปัญหาการตีกันได้
นายชัชชาติ กล่าวปิดท้ายว่า สำหรับ 20 โรงเรียนเริ่มต้น จะเลือกในส่วนที่เป็นโรงเรียนมัธยมก่อน แล้วค่อยขยายผลต่อไประดับประถมต่อไป
ด้านดร.ก้องศักด กล่าวว่า ทางกกท.มีพันธกิจในการพัฒนากีฬาโดยใช้มวยไทย ซึ่งโชคดีที่รัฐบาลให้การสนับสนุนมวยไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์และผลักดันนโยบายนี้ขึ้นมา
“ครั้งนี้นับเป้นความสำคัญเป็นความก้าวหน้าของคณะกรรมการณ ที่จะได้ร่วมมือกับกทม. นำร่องโครงการนี้ ไม่ใช่แค่ 400 กว่าโรงเรียนในกทม. แต่จะต้องขยายผลไปทั่วประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าให้ความสำคัญเรื่องมวยไทยตั้งแต่เด็กๆ” ผู้ว่าการกกท. กล่าว
ดร.ก้องศักด กล่าวปิดท้ายว่า ดีใจอย่างยิ่งที่โครงการนี้ได้เกิดขึ้น ทางกกท.มีความพร้อมอยู่แล้ว เพราะเรามีไลเซนส์ของครูมวย ที่จะสร้างมาตรฐานครูมวยที่จะทำงานร่วมกับกทม. จะเป็นครูมวยที่มีคุณภาพ สอนเด็กๆ ในเรื่องของพื้นฐานและประเพณีต่างๆ ของมวยไทยได้
ขณะที่ ผศ.พิมล กล่าวว่า โครงการต้นกล้ามวยไทย เกิดขึ้นจากนโยบายด้านซอฟต์พาวเวอร์ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกทม.เป็นอย่างดี มีการคุยกันแค่ไม่ถึง 10 วันก็บรรลุเป้าหมายแล้ว คาดว่าจะคิกออฟได้ในเดือนพฤษภาคมหรือเทอมแรกของการเรียนปีการศึกษาหน้า ทางคณะอนุกรรมการจะเตรียมครูมวยและอุปกรณ์ให้ ส่วนทางโรงเรียนก็เตรียมเรื่องของสถานที่ไป
“สิ่งที่คาดหวังคืออยากจุดประกายให้นักเรียนในโรงเรียนมีโอกาสเข้าถึงมวยไทย ไม่ใช่แค่เตะต่อยกัน ต้องเข้าใจวัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ และจริยธรรมของมวยไทยด้วย ไม่ใช่แค่เก่งแต่หมัดมวยเท่านั้น ต้องมีจริยธรรมและมีค่านิยมที่ดี” ผศ.พิมล กล่าว
ผศ.พิมล กล่าวปิดท้ายว่า นอกเหนือจากนี้ยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับครูมวย เพราะเริ่มต้นจะต้องมีการจ้างครูมวยอย่างน้อย 20 คน และจะมีเพิ่มอีกในอนาคต อีกทั้งนักเรียนเหล่านี้อนาคตก็สามารถต่อยอดขึ้นมาเป็นนักมวยหรือครูมวยในอนาคตได้ หวังว่าจะได้ช่วยกันผลักดันให้มันเกิดขึ้นจริงในอนาคต