หลังจากที่ทัพมวยสากลทีมชาติไทย กระเด็นตกรอบไปแล้ว 5 จาก 8 คน ประกอบด้วย รุ่น 80 กก. ชาย วีระพล จงจอหอ, รุ่น 60 กก.หญิง “เนย” ธนัญญา สมนึก, รุ่น 54 ก.ก.หญิง จุฑามาศ จิตรพงศ์ และรุ่น 51 กก. ชาย ธิติสรรค์ ปั้นโหมด และ รุ่น 75 กก.หญิง ใบสน มณีก้อน
โดยยังเหลือนักชกอีก 3 รุ่นประกอบด้วย วันที่ 1 ส.ค. รุ่น 50 กก.หญิง รอบ 16 คน “หวาน” จุฑามาศ รักสัตย์ พบ ซาบินา โบโบคูโลวา (อุซเบกิสถาน) เวลา 16.16 น., รุ่น 66 กก.หญิง รอบ 16 คน จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง พบ บริกิต เอ็มบับบี (คองโก) เวลา 17.04 น. และ รุ่น 63.5 กก. ชาย รอบ 8 คนสุดท้าย บรรจง สินศิริ พบ เอริสแลนดี อัลวาเรซ (คิวบา) เวลา 02.20 น.(เช้าวันที่ 2 ส.ค.67)
ล่าสุด ร.ต.สุฤทธิ์ ยิ่งกำแหง หัวหน้าสต๊าฟโค้ชทีมมวยสากลชาย ไทย เผยว่า “ต้องขอโทษพี่น้องชาวไทยด้วยสำหรับนักมวยที่ตกรอบ เราก็วางแผนมาดีอยู่ ตอนนี้ประมาทอะไรไม่ได้เลย เพราะว่ามวยมันพัฒนาเท่าเทียมกันหมด ที่มาโอลิมปิกก็ไม่ธรรมดา ไม่มีหมู ก็ฝากพี่น้องชาวไทย เรายังเหลืออีก 4 รุ่น ช่วยส่งแรงใจและแรงเชียร์เยอะๆ นะครับ”

“ตอนนี้ที่ยังเหลืออยู่ก็ยังมีขวัญและกำลังใจที่ดี ทุกคนมาที่นี่ก็มีการปลุกขวัญและกำลังใจกัน เรามาในโอลิมปิก ครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าเราผ่านจุดนี้ไปได้ จะพลิกอนาคตเรา ก็ปลูกฝังน้องๆทุกคน”
“ส่วนประเด็นเรื่องการตัดสินในโอลิมปิกเกมส์ หัวหน้าสต๊าฟโค้ชทีมมวยสากลชายไทย เผยว่า การตัดสินมันยังคาบลูกคาบดอก บางทีจะให้แบบโอลิมปิกสไตล์ หรือให้แบบมวยเดิน ก็ยังวิเคราะห์ไม่ออกเลย ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ บางทีเราทำมวยมา ให้ต่อยแบบโอลิมปิก สไตล์ แบบบ็อกเซอร์ ไม่ใช่ไฟต์เตอร์ แต่พอเห็นรูปแบบการให้คะแนนแล้ว เดาใจไม่ถูก เพราะว่าในยุโรปเขาจะมีพันธมิตรกัน พวกกรรมการ สังเกตดูได้เลย ถ้ามวยเหลื่อมๆกัน ภาษีเขาจะดีกว่า คือมีพรรคพวก”
“ตอนนี้คงปรับอะไรไม่ทัน ถ้าจะปรับต้องปรับตั้งแต่แรก ปรับหน้างานไม่ได้ เราจะแก้แบบยกเป็นยก มวยต้องปรับตั้งแต่เนิ่น ก็คงให้ชกสไตล์เดิม แต่ต้องเพิ่มหมัดชุด ต้องขยัน และส่วนมากที่ดู กรรมการมักจะให้คะแนนที่หมัดหน้า”
ร.ต.สุฤทธิ์ กล่าวปิดท้ายว่า เป้าหมายยังเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ต้องดูวันต่อวัน ไปพูดอะไรมากก็ไม่ได้